͢¢ԷҡѧPostharvest Technology Information NetworkPostharvest TechnologyɵҪԡ͢纺촡ɵҹŧҹԨ

แนะนำหน่วยงาน

  • หน้าหลัก
  • ประชาสัมพันธ์ศูนย์ฯ
  • ความเป็นมา
  • วัตถุประสงค์
  • โครงสร้างการบริหาร
  • คณะกรรมการอำนวยการ
  • คณะกรรมการบริหาร
  • ภาคีสถาบันอุดมศึกษาและวิจัย
  • ติดต่อศูนย์ ฯ

บริการต่าง ๆ

  • PHTNET E-Learning
  • Postharvest Newsletter
  • เครื่องมือวิทยาศาสตร์
  • ห้องปฏิบัติการ
  • รายชื่อผู้ประกอบการ
  • ฐานข้อมูลผู้เชี่ยวชาญ
  • หลักสูตรวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว
  • รูปภาพความเสียหายหลังการเก็บเกี่ยว
  • มาตรฐานสินค้าเกษตร และระเบียบการส่งออก
  • ลิ้งค์ที่เกี่ยวข้อง

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

  • สถาบันวิจัยเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • กรมส่งเสริมการเกตร
  • กรมวิชาการเกษตร
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
  • อุตุนิยมวิทยาเพื่อการเกษตร
  • สมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ
  • ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย
  • สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.)

หน้าแรก > ข่าวเกษตรประจำวัน

ผนึกเพื่อนบ้านทำ "ธุรกิจประมง" สานต่อนโยบายเขตเศรษฐกิจ 3 ฝ่าย

เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 51

ผนึกเพื่อนบ้านทำ "ธุรกิจประมง" สานต่อนโยบายเขตเศรษฐกิจ 3 ฝ่าย

ผลจากการร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) ภายใต้กรอบการพัฒนาความร่วมมือภาคการประมงของเขตเศรษฐกิจ 3 ฝ่าย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle) หรือ IMT-GT ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2536

โดยผู้นำทั้งสามประเทศเห็นชอบที่จะผลักดันให้เกิดพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในลักษณะไตรภาคีในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ของไทย 8 รัฐภาคเหนือของมาเลเซีย และ 10 จังหวัดบนเกาะสุมาตราของอินโดนีเซียนั้น จากนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนของทั้ง 3 ประเทศได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้กรอบการพัฒนาความร่วมมือดังกล่าว โดยอธิบดีกรมประมง "ดร.สมหญิง เปี่ยมสมบูรณ์" ให้เหตุผลว่าเนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีศักยภาพสูงที่จะส่งผลให้เกิดความร่วมมือระหว่างสามประเทศได้ ทั้งยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือในการลงทุนของภาคเอกชน โดยภาครัฐจะเป็นผู้ให้การสนับสนุนในด้านนโยบายและกำหนดกฎระเบียบต่างๆ ที่สามารถเอื้อประโยชน์ให้มากที่สุด

"คือทั้งสามประเทศนั้นมีทรัพยากรประมงและความเชี่ยวชาญในการทำประมงที่แตกต่างกัน เมื่อมีการพัฒนาความร่วมมือกันในกิจกรรมการทำประมงในทะเลการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ทั้งเพื่อเป็นอาหารและเพื่อความสวยงาม รวมถึงการแปรรูปอาหารทะเลจะทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและส่งผลให้เกิดความมั่นคงทางอาหารในเขตพื้นที่สามเหลี่ยมเศรษฐกิจ (IMT-GT) ด้วย โดยเฉพาะปลาสวยงามนั้นจะเป็นโปรดักส์แชมเปี้ยนในอนาคต"

อธิบดีกรมประมงยอมรับว่า ผลกระทบจากทรัพยากรสัตว์น้ำในน่านน้ำทะเลไทยที่เริ่มมีปริมาณลดน้อยลงทุกวัน ทำให้เราต้องหันมาเน้นการแปรรูปเป็นหลัก ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพในด้านนี้ ขณะที่มาเลเซียและอินโดนีเซียยังมีปริมาณสัตว์น้ำที่มากพอ จึงจำเป็นต้องให้สองประเทศนี้ส่งสัตว์น้ำที่จับได้มาแปรรูปในประเทศไทย

"ตั้งเป้าไว้ในอนาคต เราจะเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ประมงรายใหญ่ในภูมิภาคนี้ เพราะสิ่งที่ตามมาก็คือ เราจะมีอุตสาหกรรมต่อเนื่องเกิดขึ้นมากมาย ส่งผลให้มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของชาติโดยรวม" อธิบดีกรมประมงย้ำชัด

ถึงแม้หน่วยงานภาครัฐโดยกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะเป็นเจ้าภาพหลักในการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อให้เกิดเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน แต่หากไม่มีองค์กรภาคเอกชนเข้ามาช่วยสนับสนุนกรอบการพัฒนาความร่วมมือภาคการประมงของเขตเศรษฐกิจ 3 ฝ่าย ก็อาจไม่คืบหน้าดั่งเช่นทุกวันนี้ โดยเฉพาะสภาหอการค้าไทยที่เข้ามาดูแลผู้ประกอบการภาคธุรกิจประมงอย่างเต็มที่

สมเกียรติ อนุราษฎร์ รองประธานคณะกรรมการธุรกิจประมงและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง สภาหอการค้าไทย บอกว่า ที่ผ่านมาความร่วมมือในธุรกิจการประมงของทั้งสามประเทศอยู่ในระดับที่ดีมาก โดยเฉพาะไทยกับอินโดนีเซียนั้นมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ไปมาหาสู่กันตลอด เพราะการลงทุนร่วมกันนั้นไม่ได้เป็นการจับปลาเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงการตลาดด้วย

"ผมเคยพาคณะไปพบผู้ว่าฯ อาเจะห์ และอีกหลายจังหวัดบนเกาะสุมาตรา เขาบอกว่าอยากให้ไปพัฒนาประเทศเขา เขาอยากได้โรงงานปลากระป๋อง อยากให้เราไปตั้งโรงงานที่นั่น เนื่องจากที่นั่นยังมีปริมาณสัตว์น้ำอีกมาก แต่ก็บอกไปว่าคงลำบาก เพราะการลงทุนในธุรกิจปลากระป๋องมีกำไรน้อยมาก ต้นทุน 100 บาท กำไรแค่ 105 เท่านั้นเอง แต่ต้องเอาก้าง เอาหัวปลามาทำปลาป่น ไม่เช่านั้นจะทิ้งเปล่าไม่เกิดประโยชน์"

สมเกียรติย้ำว่า การจัดงาน "IMT-GT Fisheries and Expo 2008" ในวันที่ 20-23 พฤศจิกายน 2551 ที่ จ.ภูเก็ตนั้น นับเป็นโอกาสดีที่ผู้ประกอบธุรกิจประมงไทยได้พบปะกับนักธุรกิจประมงประเทศเพื่อนบ้านและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารในเรื่องการประมงที่ตนเองสนใจ รวมถึงรับทราบนโยบายและระเบียบข้อบังคับต่างๆ ของภาครัฐ อันจะนำไปสู่การจับคู่ทางธุรกิจหรือทำให้เกิดการนำเสนอข้อคิดเห็นหรือแนวทางในการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบของภาครัฐเสริมสร้างให้เกิดบรรยากาศที่เอื้อต่อการลงทุนร่วมกันในอนาคตข้างหน้า

ด้าน ปรเมธี วิมลศิริ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แจงรายละเอียดสั้นๆ ถึงกรอบความร่วมมือภาคการประมงของเขตเศรษฐกิจ 3 ฝ่าย หรือไตรภาคีว่า สภาพัฒน์เองอยู่ในฐานะหน่วยประสานงานในการผลักดันเพื่อไปสู่เวทีโลก ซึ่งมีทั้งหมด 6 ด้านความร่วมมือมีความจำเป็นนำไปสู่ความก้าวหน้าที่พื้นที่ในอนาคต

"สภาพัฒน์เองไม่ได้อยู่ในฐานะหน่วยงานหลัก แต่เป็นผู้ประสานด้านนโยบายเพื่อให้เป็นไปตามกรอบความร่วมมือที่ได้ทำบันทึกข้อตกลงร่วมกัน" ที่ปรึกษาคนเดิมกล่าวย้ำ

นับเป็นอีกก้าวของธุรกิจประมงไทยในการเชื่อมประสานกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อทำธุรกิจประมงร่วมกัน อันจะนำมาซึ่งการลดต้นทุนและเป็นผู้นำในการส่งออกผลิตภัณฑ์ประมงสู่ตลาดโลกในอนาคต

ที่มา : หนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก วันที่ 17 พฤศจิกายน 2551
http://www.komchadluek.net/2008/11/17/x_agi_b001_231402.php?newsid=231402

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
  • รวมอาชีพเกษตรกรรม ทำง่ายรายได้งาม ปี 2551
  • ม.บูรพาต่อยอดงานวิจัย "หิ้งสู่ห้าง" เพิ่มมูลค่า "ปลาสลิด" บ้านแพ้ว
  • กรมข้าวเตือนนครนายกเฝ้าระวัง เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลระบาดที่นา
  • ลดพิษของโลหะหนักในปลาด้วยวิตามินซี
  • เร่งปลูกถั่วเขียว พันธุ์ "ชัยนาท 80" นำร่องเหนือล่าง
  • ไทยเยี่ยมโคลนนิ่งกระทิงป่าได้สำเร็จ
  • "เจริญ คุ้มสุภา" ปลูกมะม่วงนอกฤดูขายญี่ปุ่น
  • ศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

    Postharvest Technology Innovation Center

    เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว | ข่าวเกษตร | บทความ | ฐานข้อมูลงานวิจัย | วีดีโอ | Postharvest Technology