͢¢ԷҡѧPostharvest Technology Information NetworkPostharvest TechnologyɵҪԡ͢纺촡ɵҹŧҹԨ

แนะนำหน่วยงาน

  • หน้าหลัก
  • ประชาสัมพันธ์ศูนย์ฯ
  • ความเป็นมา
  • วัตถุประสงค์
  • โครงสร้างการบริหาร
  • คณะกรรมการอำนวยการ
  • คณะกรรมการบริหาร
  • ภาคีสถาบันอุดมศึกษาและวิจัย
  • ติดต่อศูนย์ ฯ

บริการต่าง ๆ

  • PHTNET E-Learning
  • Postharvest Newsletter
  • เครื่องมือวิทยาศาสตร์
  • ห้องปฏิบัติการ
  • รายชื่อผู้ประกอบการ
  • ฐานข้อมูลผู้เชี่ยวชาญ
  • หลักสูตรวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว
  • รูปภาพความเสียหายหลังการเก็บเกี่ยว
  • มาตรฐานสินค้าเกษตร และระเบียบการส่งออก
  • ลิ้งค์ที่เกี่ยวข้อง

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

  • สถาบันวิจัยเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • กรมส่งเสริมการเกตร
  • กรมวิชาการเกษตร
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
  • อุตุนิยมวิทยาเพื่อการเกษตร
  • สมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ
  • ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย
  • สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.)

หน้าแรก > ข่าวเกษตรประจำวัน

มข.วิจัย "แก่นตะวัน" ผลิตเอทานอล วช.ทุ่มทุนสนับสนุนสร้างทางเลือกพืชพลังงานรองรับ E-85

เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 51

มข.วิจัย "แก่นตะวัน" ผลิตเอทานอล วช.ทุ่มทุนสนับสนุนสร้างทางเลือกพืชพลังงานรองรับ E-85 ศ.ดร.อานนท์ บุณยะรัตเวช เลขาธิการคณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เผยว่า วช.ตระหนักถึงปัญหาวิกฤติพลังงานที่เกิดขึ้นในขณะนี้ จึงให้การสนับสนุนมหาวิทยาลัยขอนแก่นทำการศึกษาการผลิตเอทานอลจากแก่นตะวัน เพื่อเป็นพืชพลังงานทางเลือกในการผลิตเอทานอล

รศ.ดร.สนั่น จอกลอย อาจารย์ประจำคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า แก่นตะวันเป็นพืชเมืองหนาวที่มีต้นกำเนิดในทวีปอเมริกาเหนือ มีดอกสีเหลืองสดใสคล้ายดอกบัวตองและทานตะวัน แต่มีหัวใต้ดินคล้ายกับมันฝรั่งเพื่อเก็บสะสมสารอาหาร จากการศึกษาพบว่า หัวของแก่นตะวันสามารถนำมาแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงทดแทน เนื่องจากเป็นแหล่งสะสมน้ำตาล ที่สามารถใช้จุลินทรีย์หมักเป็นเอทานอล เพื่อนำมาผลิตเป็นแก๊สโซฮอล์ชนิดต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น E20 หรือ E85

สำหรับ หัวแก่นตะวันสด 1 ตัน สามารถหมักเป็นเอทานอลได้ประมาณ 100 ลิตร ซึ่งสูงกว่าอ้อย 1 ตัน ที่สามารถหมักเป็นเอทานอลได้ประมาณ 65-70 ลิตร แต่ปัญหาคือการผลิตเอทานอลจากแก่นตะวัน ยังมีต้นทุนค่อนข้างสูง คือ กิโลกรัมละ 3 บาท ขณะที่หัวมันสำปะหลังมีราคากิโลกรัมละ 1.50-2 บาทเท่านั้น ที่สำคัญหัวมันสำปะหลัง 1 ตัน ยังให้เอทานอลสูงถึง 160 ลิตร ดังนั้นทีมวิจัยจึงต้องทำการศึกษาปรับปรุงพันธุ์เพื่อเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้น และหากรัฐบาลมีการสนับสนุนเกษตรกรปลูกแก่นตะวันให้มากขึ้น รวมทั้งมีการสนับสนุนงานวิจัยด้านนี้เพิ่มเติม เชื่อว่าแก่นตะวันจะเป็นพืชทางเลือกอีกชนิดที่สามารถผลิตเชื้อเพลิงทดแทนได้

รศ.ดร.สนั่นกล่าวอีกว่า แก่นตะวันไม่ได้มีศักยภาพในการผลิตเอทานอลเท่านั้น แต่ยังสามารถนำมาผลิตเป็นอาหารเพื่อสุขภาพมากมาย เนื่องจากแก่นตะวันมีสารอินนูลิน ที่สามารถจับไขมันในเส้นเลือดที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ซึ่งจะช่วยความเสี่ยงจากการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด สร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย และยังความเสี่ยงการเป็นโรคเบาหวาน อีกทั้งยังช่วยลดปริมาณแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคในระบบทางเดินอาหาร และเสริมการทำงานของแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ จึงเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้ดีขึ้น

ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันที่ 10 กรกฎาคม 2551
http://www.naewna.com/news.asp?ID=112666

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
  • รวมอาชีพเกษตรกรรม ทำง่ายรายได้งาม ปี 2551
  • ม.บูรพาต่อยอดงานวิจัย "หิ้งสู่ห้าง" เพิ่มมูลค่า "ปลาสลิด" บ้านแพ้ว
  • กรมข้าวเตือนนครนายกเฝ้าระวัง เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลระบาดที่นา
  • ลดพิษของโลหะหนักในปลาด้วยวิตามินซี
  • เร่งปลูกถั่วเขียว พันธุ์ "ชัยนาท 80" นำร่องเหนือล่าง
  • ไทยเยี่ยมโคลนนิ่งกระทิงป่าได้สำเร็จ
  • "เจริญ คุ้มสุภา" ปลูกมะม่วงนอกฤดูขายญี่ปุ่น
  • ศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

    Postharvest Technology Innovation Center

    เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว | ข่าวเกษตร | บทความ | ฐานข้อมูลงานวิจัย | วีดีโอ | Postharvest Technology