͢¢ԷҡѧPostharvest Technology Information NetworkPostharvest TechnologyɵҪԡ͢纺촡ɵҹŧҹԨ

แนะนำหน่วยงาน

  • หน้าหลัก
  • ประชาสัมพันธ์ศูนย์ฯ
  • ความเป็นมา
  • วัตถุประสงค์
  • โครงสร้างการบริหาร
  • คณะกรรมการอำนวยการ
  • คณะกรรมการบริหาร
  • ภาคีสถาบันอุดมศึกษาและวิจัย
  • ติดต่อศูนย์ ฯ

บริการต่าง ๆ

  • PHTNET E-Learning
  • Postharvest Newsletter
  • เครื่องมือวิทยาศาสตร์
  • ห้องปฏิบัติการ
  • รายชื่อผู้ประกอบการ
  • ฐานข้อมูลผู้เชี่ยวชาญ
  • หลักสูตรวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว
  • รูปภาพความเสียหายหลังการเก็บเกี่ยว
  • มาตรฐานสินค้าเกษตร และระเบียบการส่งออก
  • ลิ้งค์ที่เกี่ยวข้อง

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

  • สถาบันวิจัยเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • กรมส่งเสริมการเกตร
  • กรมวิชาการเกษตร
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
  • อุตุนิยมวิทยาเพื่อการเกษตร
  • สมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ
  • ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย
  • สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.)

หน้าแรก > ข่าวเกษตรประจำวัน

'ภาคตะวันออก' เขตปลอดโรคปากและเท้าเปื่อย

เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 52

'ภาคตะวันออก' เขตปลอดโรคปากและเท้าเปื่อย
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีศักยภาพในการส่งออกผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ค่อนข้างสูง แต่ปัญหาเรื่องโรคปากและเท้าเปื่อยเป็นข้อกำหนดที่สำคัญในการกีดกันการนำเข้าสินค้าปศุสัตว์ของต่างประเทศ ทว่าการกำจัดโรคปากและเท้าเปื่อยให้หมดไปจากประเทศไทยจำเป็นต้องใช้กำลังคน และงบประมาณจำนวนมาก ดังนั้น หากพื้นที่เขตปศุสัตว์ที่มีการผลิตสัตว์ได้มากและปลอดต่อโรคปากและเท้า เปื่อยแล้วจะเป็นหนทางสำคัญซึ่งช่วยให้ประเทศไทยสามารถขยายตัวในด้านการส่ง ออกสินค้าปศุสัตว์ได้

ซึ่งภาคตะวันออกของประเทศไทยมีผลผลิตปศุสัตว์ โดยเฉพาะสุกรเพียงพอสำหรับการบริโภคและเหลือส่งไปจำหน่ายนอกพื้นที่ ประกอบกับเป็นพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคปากและเท้าเปื่อยน้อย จึงมีความเหมาะสมที่จะจัดตั้งให้ภาคตะวันออกเป็นเขตปลอดโรคปากและเท้าเปื่อย

นายปรีชา สมบูรณ์ประเสริฐ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า กรมปศุสัตว์ได้ดำเนิน 10 มาตรการ เพื่อจัดทำเขตปลอดโรคปากและเท้าเปื่อยในภาคตะวันออกของประเทศไทยเพื่อกำจัดโรคปากและเท้าเปื่อยให้หมดไปจากพื้นที่ดังกล่าว และเพื่อให้องค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ รับรองสถานภาพปลอดโรคปากและเท้าเปื่อยในภาคตะวันออกให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล

10  มาตรการดังกล่าว เริ่มจากการ กำหนดเขตควบคุมโรคเพื่อเตรียมเป็นเขตปลอดโรค คือ พื้นที่ชั้นในของภาคตะวันออก ประกอบด้วยส่วนหนึ่งของจังหวัดฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี สระแก้ว จันทบุรี และจังหวัดระยองและชลบุรีทั้งจังหวัด กำหนดเขตกันชนที่กั้นระหว่างเขตควบคุมกับเขตปกติ ต่อมาคือการจัดทำเครื่องหมายขึ้นทะเบียนสัตว์และกำหนดพิกัดในระบบจีไอเอสให้กับสถานที่เลี้ยงสัตว์กีบคู่ทุกชนิด โรงฆ่าสัตว์กีบคู่ ตลาดนัดค้าสัตว์กีบคู่ ด่านกักกันสัตว์ จุดตรวจสัตว์ เป็นต้น จากนั้นจึงเป็นการเฝ้าระวังโรคทั้งเชิงรุกและเชิงรับ โดยสำนักควบคุมป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ (สคบ.) จะจัดระบบให้เจ้าหน้าที่ออกปฏิบัติงานตรวจเยี่ยมเฝ้าระวังโรค จัดตั้งศูนย์รับแจ้ง รวมไปถึงการเฝ้าระวังทางห้องปฏิบัติการโดยการจัดทำธนาคารซีรั่มเพื่อสุ่มตรวจทางซีรั่มวิทยาค้นหารอยโรค จัดตั้งห้องปฏิบัติการตรวจวินิจฉัยโรคปากและเท้าเปื่อยอย่างรวดเร็วที่ด่านกักกันสัตว์ตามแนวเขตรอบนอกของเขตกันชน

ที่สำคัญคือการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคที่นอกจากจะพัฒนาระบบการผลิตวัคซีนให้ได้มาตรฐานที่องค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศกำหนดแล้ว จะกำหนดการฉีดวัคซีนปีละ 2 ครั้งในเดือนมิถุนายนและธันวาคม จัดระบบการตรวจสอบให้สัตว์ได้รับการฉีด วัคซีนจริงโดยใช้ทั้งกฎหมายและส่งเสริมระบบการซื้อขายสัตว์ที่ฉีดวัคซีนแล้ว สำหรับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาจะสนับสนุนการฉีดวัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อยให้กับสัตว์ตามแนวชายแดนติดต่อกับประเทศไทย มาตรการต่อมาคือการควบคุมเคลื่อนย้ายสัตว์และซากสัตว์ให้เป็นไปตามระเบียบ กรมปศุสัตว์อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะต้องมีหลักฐานไม่พบการติดเชื้อโรคปากและเท้าเปื่อยโดยการตรวจซีรั่ม สำหรับมาตรการควบคุมโรค สคบ.มีมาตรฐานซ้อมแผนเผชิญเหตุอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง พัฒนาปรับปรุงระบบรายงานโรคและเก็บตัวอย่างให้รวดเร็ว ถูกต้อง ควบคุมรอบจุดเกิดโรคในรัศมี 5-10 กิโลเมตรอย่างเข้มงวด ทำลายสัตว์ป่วยและสัตว์ที่สัมผัสสัตว์ป่วยทั้งหมดโดยไม่มีการกักรักษาทั้งใน เขตกันชนและเขตปลอดโรค ฉีดวัคซีนป้องกันโรคในลักษณะวงแหวน พัฒนาห้องควบคุมโรคและชุดเฉพาะกิจควบคุมโรคประจำสำนักสุขศาสตร์สัตว์และ สุขอนามัยที่ 2 ให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงานตลอดเวลา ส่งเสริมให้สหกรณ์หรือกลุ่ม หรือชมรม หรือสมาคมมีมาตรการลงโทษ กรณีสมาชิกเป็นสาเหตุให้เกิดการแพร่กระจายโรค

มาตรการสุดท้ายคือการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนเงินทุนในการพัฒนาโรงฆ่าสัตว์กีบคู่ การพัฒนาปรับปรุงการเลี้ยงสัตว์รายย่อยให้ผู้เลี้ยงรายใหญ่เข้ามามีบทบาทในการดูแลช่วยเหลือ และการพัฒนาปรับปรุงผู้ประกอบการรับซื้อสัตว์และขนส่งสัตว์กีบคู่

การจัดทำเขตดังกล่าวมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ปี 2552 - 2556 โดยคาดว่าภายในปี 2555 ประเทศไทยจะสามารถส่งออกเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์ไปยังต่างประเทศได้ไม่น้อย กว่าหมื่นล้านบาทต่อปี อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการควบคุม ป้องกัน กำจัดโรคปากและเท้าเปื่อยในภาคตะวันออกของประเทศ เช่น ค่าวัคซีน ค่ารักษาพยาบาล ได้ประมาณปีละ 30 ล้านบาท.

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 2 ธันวาคม 2552
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=347&contentID=35064

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
  • ทางเลือก-ทางรอดเกษตรกรรมไทยในปี 2553
  • มันสำปะหลังทุบสถิติส่งท้ายปี สูงเกินราคาประกันรัฐบาล คาดปีหน้ายังพุ่งขึ้นต่อเนื่อง
  • เตือนภัย เพลี้ยแป้งระบาดในมันสำปะหลัง
  • อียูลดค่าสีผสมอาหาร 3 ชนิด
  • สศก.เปิดเผยศึกษาลำไยนอกฤดู ยันเกษตรกรได้รับผลคุ้มค่า แนะตั้งกลุ่มส่งเสริมจริงจัง
  • โอกาสของเกษตรกรรายย่อยในการรับรองฟาร์มแบบกลุ่ม
  • มะนาวพันธุ์ 'แป้นดกพิเศษ' ดกกว่าพันธุ์แป้นรำไพ 2-3 เท่า
  • ศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

    Postharvest Technology Innovation Center

    เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว | ข่าวเกษตร | บทความ | ฐานข้อมูลงานวิจัย | วีดีโอ | Postharvest Technology