͢¢ԷҡѧPostharvest Technology Information NetworkPostharvest TechnologyɵҪԡ͢纺촡ɵҹŧҹԨ

แนะนำหน่วยงาน

  • หน้าหลัก
  • ประชาสัมพันธ์ศูนย์ฯ
  • ความเป็นมา
  • วัตถุประสงค์
  • โครงสร้างการบริหาร
  • คณะกรรมการอำนวยการ
  • คณะกรรมการบริหาร
  • ภาคีสถาบันอุดมศึกษาและวิจัย
  • ติดต่อศูนย์ ฯ

บริการต่าง ๆ

  • PHTNET E-Learning
  • Postharvest Newsletter
  • เครื่องมือวิทยาศาสตร์
  • ห้องปฏิบัติการ
  • รายชื่อผู้ประกอบการ
  • ฐานข้อมูลผู้เชี่ยวชาญ
  • หลักสูตรวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว
  • รูปภาพความเสียหายหลังการเก็บเกี่ยว
  • มาตรฐานสินค้าเกษตร และระเบียบการส่งออก
  • ลิ้งค์ที่เกี่ยวข้อง

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

  • สถาบันวิจัยเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • กรมส่งเสริมการเกตร
  • กรมวิชาการเกษตร
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
  • อุตุนิยมวิทยาเพื่อการเกษตร
  • สมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ
  • ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย
  • สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.)

หน้าแรก > ข่าวเกษตรประจำวัน

ใช้ "แอลกอฮอล์" ผสมสารสกัดพืชสมุนไพรทางเลือกเกษตรกร "ป้องกัน-กำจัดศัตรูพืช"

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 52

ใช้ "แอลกอฮอล์" ผสมสารสกัดพืชสมุนไพรทางเลือกเกษตรกร "ป้องกัน-กำจัดศัตรูพืช"


ยุคข้าวยากหมากแพงเกษตรกรต้องพยายามหาวิธีลดต้นทุนการผลิตลง เพื่อให้เหลือกำไรไว้เลี้ยงชีพและครอบครัว การป้องกันและกำจัดศัตรูพืชแบบผสมผสาน โดยการใช้สารสมุนไพรที่หาได้ไม่ยากนักในท้องถิ่นก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ในขณะที่ส่วนใหญ่ยังคงเน้นใช้วัตถุมีพิษเพื่อการป้องกันกำจัดศัตรูพืช เนื่องจากความเคยชิน ส่งผลให้มีโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายต่างๆ กับตัวเกษตรกรเอง หากขาดความเข้าใจที่ถูกต้องและขาดความระมัดระวังในการปฏิบัติในการใช้วัตถุมีพิษเหล่านั้น

จากสถิติของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ในปีหนึ่งๆ มีผู้ป่วยเนื่องจากการใช้วัตถุมีพิษประมาณ 5,000 คน ผู้ที่ได้รับวัตถุมีพิษเหล่านี้มีโอกาสเสี่ยงในการเป็นมะเร็งสูง นอกจากนั้นยังสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางอ่อนแอลงในรุ่นลูกหลาน

บัวเพชร ใจแสน อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 ต.วังไก่เถื่อน อ.หันคา จ.ชัยนาท วัย 53 ปี ประธานเกษตรธรรมชาติชุมชนตำบลวังไก่เถื่อน กล่าวถึงการใช้สารสกัดสมุนไพรเพื่อ การป้องกันและกำจัดศัตรูพืช ว่า ไม่ว่าจะเป็นแบบหมัก คั้น บดผง จะต้องทำและใช้ในทันทีทันใด เพราะไม่สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน เมื่อจะใช้จึงค่อยทำ หากเกษตรกรละเลยการตรวจแปลง พบการระบาดของของโรค-แมลงศัตรูพืชก็จะควบคุมแมลงศัตรูพืชได้ยากและไม่ทัน การณ์

"ปัจจุบันมีการสกัดสารสมุนไพรนำมาผสมกับแอลกอฮอล์แล้วนำไปฉีดพ่นแทน ประสิทธิภาพจะดีกว่ามาก แต่ยังคงมีข้อจำกัดคือ ใช้ได้ในกรณีสารสมุนไพรที่ มีกลิ่นฉุนและไม่สลายตัว เมื่ออยู่ในสภาวะอุณหภูมิสูง เช่นสารตะไคร้หอม ใบยูคาลิปตัส เป็นต้น แต่ไม่สามารถใช้ได้กับสะเดา ดังนั้นจึงต้องคิดหาวิธีใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ด้วยการสกัดแอลกอฮอล์จากเหล้าขาว หรือแอลกอฮอล์เช็ดแผล และน้ำส้มสายชู แต่คงพบปัญหาและมีข้อเสียคือ ต้นทุนที่สูง"

ประธานเกษตรธรรมชาติชุมชนตำบลวังไก่เถื่อนอธิบายถึงวิธีการผลิต แอลกอฮอล์ว่า ทำไม่ยาก เพียงนำกากน้ำตาล 1 กิโลกรัม ละลายในน้ำสะอาด 4 ลิตร ใส่ยีสต์ทำขนมปัง 1 ช้อนชา คนให้ทั่วหมักทิ้งไว้ 7 วัน ยีสต์จะเปลี่ยนน้ำตาลกลายเป็นแอลกอฮอล์รอการนำไปใช้สกัดสารสมุนไพรต่างๆ ได้ แต่เมื่อหมักได้ดีแล้วสามารถเก็บไว้ได้นานเพียง 1 เดือน ถ้าไม่ใช้ให้หมดก็จะกลายเป็นน้ำส้มและเน่าเสียได้ แต่ถ้านำไปสกัดสมุนไพรและนำกากสมุนไพรที่สกัดออกแล้วสามารถเก็บสมุนไพรนั้นไว้ใช้ได้นานหลายเดือนตลอดฤดูการผลิต

"อย่างการสกัดสารสมุนไพรป้องกันแมลงศัตรูพืชจากยาสูบ และน้ำส้มควันไม้ โดยมีวิธีทำ คือ แอลกอฮอล์ 1 ลิตร น้ำส้มควันไม้ 1 ลิตร ใส่ยาสูบลงไปพอท่วม ใช้ตะแกรงวางบนและทับด้วยหินให้น้ำท่วมเสมอ ทิ้งไว้ 7 วัน คั้นเอาน้ำสมุนไพรไว้ ใช้ทิ้งไว้ได้เป็นปี กากที่ได้นำไปใช้ประโยชน์อื่นได้อีก เช่น โรยในแปลงผัก อัตราที่ใช้ 50 ซีซี ต่อน้ำสะอาด 20 ลิตร ควรฉีดพ้นเวลาแดดอ่อน สามารถป้องกันและกำจัดศัตรูข้าวได้เป็นอย่างดี" บัวเพชรกล่าว

บัวเพชรย้ำว่า การสกัดสมุนไพรด้วยแอลกอฮอล์จะสกัดสารสมุนไพรให้ออกมาเพื่อใช้ประโยชน์ได้ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ มากกว่าการใช้น้ำที่ละลายออกมาได้เพียงเล็กน้อย อีกทั้งสามารถเก็บไว้ได้นาน พร้อมใช้งานเมื่อเกิดการระบาดของศัตรูพืชได้อย่างทันกับสถานการณ์

ในขณะที่ รังสรรค์ กองเงิน เกษตรจังหวัดชัยนาท กล่าวเสริมว่า การส่งเสริมเพื่อให้เกษตรกรป้องกันและกำจัดศัตรูพืชแบบผสมผสานนั้น เป็นนโยบายของจังหวัดชัยนาท เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ “เมืองเกษตรมาตรฐาน สืบสานคุณภาพชีวิต” โดยในปี 2552 จังหวัดชัยนาทอนุมัติงบประมาณดำเนินงานโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวปลอดภัย จากสารพิษและลดต้นทุนการผลิตจำนวน 80 กลุ่ม กลุ่มละประมาณ 20 คน ครอบคลุมทุกตำบลใน จ.ชัยนาท

"แนวทางการส่งเสริมด้วยการสร้างทีมวิทยากรเกษตรกร เพื่อร่วมเป็นทีมวิทยากรสนับสนุนการเรียนรู้ร่วมกันของเกษตรกร ในการป้องกันและกำจัดศัตรูพืชแบบผสมผสาน ครอบคลุมตั้งแต่การเตรียมเมล็ดพันธุ์ การเตรียมดินที่ลดการเผาตอซังและฟางข้าว การวิเคราะห์ดิน การใช้ปุ๋ยและปรับปรุงดินตามค่าวิเคราะห์ดิน การตรวจนับแมลงศัตรูพืชและศัตรูธรรมชาติ การใช้สารสมุนไพร สารชีวภัณฑ์ในการป้องกันและกำจัดศัตรูพืช เป็นต้น"

เกษตรจังหวัดชัยนาทย้ำด้วยว่า ในส่วนของการผลิตแอลกอฮอล์สำหรับการสกัดสมุนไพรนั้น สามารถลดต้นทุนการผลิตและสกัดสมุนไพร เพื่อการป้องกันกำจัดศัตรูพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ควรนำไปใช้เพื่อการเกษตรเท่านั้น ห้ามนำไปใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่น เนื่องจากผิดกฎหมาย และอาจเกิดอันตรายต่อสุขภาพด้วย

การใช้แอลกอฮอล์สารสกัดพืชสมุนไพรแทน สารเคมีหรือวัตถุมีพิษ 100% จึงนับเป็นอีกทางเลือกของเกษตรกรในการป้องกันและกำจัดศัตรูพืช เนื่องจากสามารถเก็บไว้ใช้ได้นานและไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอีกด้วย

"เกษตรอินทรีย์"หนทางรอดของเกษตรกร

สุธรรม จันทร์อ่อน หมอดินอาสาประจำอำเภอกำแพงแสน จ.นครปฐม ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากกรมพัฒนาที่ดินให้เป็นหมอดินอาสาดีเด่น และยังรั้งตำแหน่งปราชญ์ชาวบ้านเศรษฐกิจพอเพียงของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงข้อดีของเกษตรอินทรีย์ว่า นอกจากสามารถลดต้นทุนการผลิตได้แล้ว ยังส่งผลดีต่อสุขภาพของตนเองและครอบครัว ที่สำคัญยังป้องกันการเสื่อมโทรมของที่ดินทำกินอีกด้วย

"เมื่อก่อนผมก็ใช้สารเคมีเหมือนกัน แต่เมื่อได้กลับมาคิดถึงคำสอนของบรรพบุรุษ และเหนือสิ่งอื่นใดคือ พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงกล่าวถึงหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นทางออกทางรอดของเกษตรกรโดยแท้ ตั้งแต่นั้นมาผมจึงหันมาทำเกษตรพึ่งพาสารอินทรีย์ชีวภาพและปฏิเสธการใช้ปุ๋ย เคมีหรือสารเคมีทุกชนิด"

ทุกวันนี้ครอบครัวของหมอดินสุธรรมมีความสุขดี จากการเพาะปลูกพืชผักแบบผสมผสาน มีพื้นที่ทั้งหมด 17 ไร่ แบ่งพื้นที่ตามความเหมาะสมของดิน เป็นฟาร์มวัว บ่อเลี้ยงปลา แปลงหญ้า ประมาณ 10 ไร่ ส่วนอีก 7 ไร่ เป็นที่ปลูกบ้านที่พักอาศัย และปลูกหน่อไม้ฝรั่ง พริก มะเขือ กล้วยน้ำว้า ไผ่ ไว้รอบๆ บริเวณ ซึ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นการผลิตที่เกื้อกูลกัน

"ผมพิสูจน์มาแล้วว่า การใช้ปุ๋ยอินทรีย์สามารถลดต้นทุนได้ไม่ต่ำกว่า 60-70% ถึงแม้ว่าผลผลิตจะได้ไม่สูงเท่ากับการใช้ปุ๋ยเคมี แต่เมื่อเปรียบเทียบต้นทุนกับรายได้แล้วนับว่าคุ้มค่า แต่ละปีมีรายได้เหลือไม่ต่ำกว่า 2-3 แสนบาท ซึ่งเป็นรายได้ที่พออยู่ได้” สุธรรมกล่าวทิ้งท้าย

ที่มา : หนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก วันที่ 26 ตุลาคม 2552
http://www.komchadluek.net/detail/20091026/34217/%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%AE%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B9%8C%E0%B8%9C%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
  • ทางเลือก-ทางรอดเกษตรกรรมไทยในปี 2553
  • มันสำปะหลังทุบสถิติส่งท้ายปี สูงเกินราคาประกันรัฐบาล คาดปีหน้ายังพุ่งขึ้นต่อเนื่อง
  • เตือนภัย เพลี้ยแป้งระบาดในมันสำปะหลัง
  • อียูลดค่าสีผสมอาหาร 3 ชนิด
  • สศก.เปิดเผยศึกษาลำไยนอกฤดู ยันเกษตรกรได้รับผลคุ้มค่า แนะตั้งกลุ่มส่งเสริมจริงจัง
  • โอกาสของเกษตรกรรายย่อยในการรับรองฟาร์มแบบกลุ่ม
  • มะนาวพันธุ์ 'แป้นดกพิเศษ' ดกกว่าพันธุ์แป้นรำไพ 2-3 เท่า
  • ศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

    Postharvest Technology Innovation Center

    เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว | ข่าวเกษตร | บทความ | ฐานข้อมูลงานวิจัย | วีดีโอ | Postharvest Technology