͢¢ԷҡѧPostharvest Technology Information NetworkPostharvest TechnologyɵҪԡ͢纺촡ɵҹŧҹԨ

แนะนำหน่วยงาน

  • หน้าหลัก
  • ประชาสัมพันธ์ศูนย์ฯ
  • ความเป็นมา
  • วัตถุประสงค์
  • โครงสร้างการบริหาร
  • คณะกรรมการอำนวยการ
  • คณะกรรมการบริหาร
  • ภาคีสถาบันอุดมศึกษาและวิจัย
  • ติดต่อศูนย์ ฯ

บริการต่าง ๆ

  • PHTNET E-Learning
  • Postharvest Newsletter
  • เครื่องมือวิทยาศาสตร์
  • ห้องปฏิบัติการ
  • รายชื่อผู้ประกอบการ
  • ฐานข้อมูลผู้เชี่ยวชาญ
  • หลักสูตรวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว
  • รูปภาพความเสียหายหลังการเก็บเกี่ยว
  • มาตรฐานสินค้าเกษตร และระเบียบการส่งออก
  • ลิ้งค์ที่เกี่ยวข้อง

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

  • สถาบันวิจัยเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • กรมส่งเสริมการเกตร
  • กรมวิชาการเกษตร
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
  • อุตุนิยมวิทยาเพื่อการเกษตร
  • สมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ
  • ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย
  • สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.)

หน้าแรก > ข่าวเกษตรประจำวัน

สกัดสารต้านอนุมูลอิสระจากกากรำข้าว

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 52

สกัดสารต้านอนุมูลอิสระจากกากรำข้าว
ประเทศไทยมีพื้นที่การทำนาประมาณ 66 ล้านไร่ แบ่งเป็นนาปีประมาณ 57 ล้านไร่ นาปรังประมาณ 9 ล้านไร่ ได้ผลผลิตข้าวเปลือกประมาณ 24 ล้านตันต่อปี สีเป็นข้าวสารได้ประมาณ 14 ล้านตัน โดยมีผลพลอยได้ซึ่งเป็นรำข้าวประมาณ 2.28 ล้านตัน ทั้งนี้รำข้าวส่วนหนึ่งจะถูกนำไปสกัดน้ำมัน ส่วนกากรำข้าวที่เหลือจากการสกัดน้ำมันรำข้าวจะถูกจำหน่ายไปเป็นส่วนผสมของ อาหารสัตว์จึงทำให้มีราคาถูก ด้วยเหตุนี้ ผศ.ดร.ศุภวรรณ ถาวร ชินสมบัติ อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีอาหาร คณะเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) จึงศึกษาหาแนวทางในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกากรำข้าวโดยเลือกศึกษาในรำข้าวหอมมะลิ เนื่องจากมีโปรตีนซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการสูง จากการศึกษาดังกล่าว นักวิจัย มข.สามารถสกัดเปปไทด์ซึ่งเป็นกรดอะมิโนจากโปรตีน มีคุณสมบัติเป็นสารช่วยลดความดันและต้านอนุมูลอิสระได้ โดยเบื้องต้นทดลองนำมาผลิตในรูปแบบผงละลายน้ำหรือเป็นส่วนผสมของเครื่องดื่มต่าง ๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ อาทิ น้ำนมถั่วเหลือง น้ำข้าวกล้อง เป็นต้น นอกจากนี้ยังทดลองผลิตเป็นผงบรรจุในแคปซูลสำหรับคนที่รักสุขภาพสามารถรับประทานได้ทันทีอีกด้วย

ผลจากการศึกษาครั้งนี้ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับรำข้าวได้ไม่น้อยทีเดียว ทั้งนี้ หากจำหน่ายกากรำข้าวเพื่อเป็นส่วนผสมในอาหาร สัตว์จะขายได้ที่ราคาเพียงกิโลกรัมละ 6-8 บาท เท่านั้น แต่เมื่อนำมาสกัดเพื่อให้ได้เปปไทด์จากโปรตีนรำข้าว เปปไทด์ที่ได้จะมีราคาถึงกิโลกรัมละ 1,000-2,000 บาทเลยทีเดียว โดยจากการศึกษากากรำข้าว 1 กิโลกรัม สามารถสกัดเปปไทด์ได้ประมาณ 5% ของน้ำหนัก

ผศ.ดร.ศุภวรรณ กล่าวถึง ขั้นตอนการสกัดเปปไทด์ จากโปรตีนรำข้าวหอมมะลิว่า ขั้นแรกต้องนำรำข้าวมาสกัดน้ำมันออกก่อน จากนั้นจึงนำไปสกัดโปรตีนรำข้าว โดยใช้สภาวะเป็นด่าง (pH 11) จะได้โปรตีนรำข้าว เสร็จแล้วนำไปผสมน้ำในอัตราส่วน น้ำ : โปรตีน เท่ากับ 4 : 1 จากนั้นนำมาปรับสภาพให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสม ที่เอนไซม์ในการย่อยโปรตีนจะทำงาน คือ ค่า pH 8 อุณหภูมิประมาณ 55 องศาเซลเซียส ใช้เวลาในการย่อยสลายประมาณ 4 ชั่วโมง เสร็จแล้วนำมาแยกโดยการกรอง จะได้สารละลายที่มีองค์ประกอบของเปปไทด์ต่อจากนั้นจึงนำสารละลายมาทำแห้งแบบละเหิด จะได้ผงสีเหลืองอ่อน ไม่มีกลิ่น สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น การผลิตเป็นอาหารเสริมสุขภาพ การผสมในอาหาร และเครื่องดื่มต่าง ๆ เพิ่มคุณค่าทางโภชนาการอันจะส่งผลดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะการควบคุมความดันและการต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นคุณสมบัติเด่นของเปปไทด์จากโปรตีนรำข้าว

“คนที่เป็นโรคความดัน ต้องรับประทานยาซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ทุกวันต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลายาวนาน ดังนั้น จึงอาจมีผลข้างเคียงต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น อาการระคายคอ ไอแห้ง และจากการรับประทานยาอย่างต่อเนื่องดังกล่าวอาจส่งผลให้ตับต้องทำงานหนักขึ้น ดังนั้น หากเปลี่ยนมารับประทานเปปไทด์โปรตีนจากกากรำข้าวเป็นอาหารเสริมแทนจะช่วยให้หลีกเลี่ยงยาสังเคราะห์ได้ สุขภาพร่างกายก็จะดีขึ้น นอกจากนี้ เปปไทด์ที่ได้จากการสกัดโปรตีนรำข้าวยังมีคุณสมบัติเป็นสารช่วยต้านอนุมูลอิสระอันเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็งอีกด้วย”ผศ.ดร.ศุภวรรณ กล่าว

ผศ.ดร.ศุภวรรณ กล่าวอีกว่า ผลการวิจัยในครั้งนี้ เป็นการศึกษาในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ดังนั้น ต้นทุนในการผลิตจึงสูง อย่างไรก็ดี หากมีการผลิตในเชิงพาณิชย์ หรือ ผลิตในปริมาณ มากจะทำให้ต้นทุนถูกลงได้ โดยขณะนี้ได้เสนอผลงานศึกษาวิจัยดังกล่าวต่อผู้ประกอบการผลิตน้ำมันรำข้าวซึ่งมีความสนใจใน การใช้ประโยชน์โปรตีนจากกากรำข้าวที่เหลือจากการสกัดน้ำมัน ซึ่งแต่เดิมผู้ประกอบการมีการนำกากรำข้าวที่ เหลือจากการสกัดน้ำมันไปผลิตเป็นอาหารสัตว์เท่านั้น นอกจากนี้ ยังเสนอผลการวิจัยไปยังกลุ่มผู้ประกอบการโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งสนใจจะนำโปรตีนจากกากรำข้าวไปผสมในอาหารเพื่อเสริมคุณค่าทางโภชนาการ หรือเป็นอาหารสุขภาพ โดยขณะนี้กำลังศึกษาแนวทางผลิตในเชิงพาณิชย์ต่อไป

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โทร. 0-4336-2006 หรือ ผศ.ดร.ศุภวรรณ ถาวรชินสมบัติ อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีอาหาร คณะเทคโนโลยี มข. โทร.0-4336-2132 ในวันเวลาราชการ.

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 31 สิงหาคม 2552
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=339&contentID=17130

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
  • ทางเลือก-ทางรอดเกษตรกรรมไทยในปี 2553
  • มันสำปะหลังทุบสถิติส่งท้ายปี สูงเกินราคาประกันรัฐบาล คาดปีหน้ายังพุ่งขึ้นต่อเนื่อง
  • เตือนภัย เพลี้ยแป้งระบาดในมันสำปะหลัง
  • อียูลดค่าสีผสมอาหาร 3 ชนิด
  • สศก.เปิดเผยศึกษาลำไยนอกฤดู ยันเกษตรกรได้รับผลคุ้มค่า แนะตั้งกลุ่มส่งเสริมจริงจัง
  • โอกาสของเกษตรกรรายย่อยในการรับรองฟาร์มแบบกลุ่ม
  • มะนาวพันธุ์ 'แป้นดกพิเศษ' ดกกว่าพันธุ์แป้นรำไพ 2-3 เท่า
  • ศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

    Postharvest Technology Innovation Center

    เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว | ข่าวเกษตร | บทความ | ฐานข้อมูลงานวิจัย | วีดีโอ | Postharvest Technology