͢¢ԷҡѧPostharvest Technology Information NetworkPostharvest TechnologyɵҪԡ͢纺촡ɵҹŧҹԨ

แนะนำหน่วยงาน

  • หน้าหลัก
  • ประชาสัมพันธ์ศูนย์ฯ
  • ความเป็นมา
  • วัตถุประสงค์
  • โครงสร้างการบริหาร
  • คณะกรรมการอำนวยการ
  • คณะกรรมการบริหาร
  • ภาคีสถาบันอุดมศึกษาและวิจัย
  • ติดต่อศูนย์ ฯ

บริการต่าง ๆ

  • PHTNET E-Learning
  • Postharvest Newsletter
  • เครื่องมือวิทยาศาสตร์
  • ห้องปฏิบัติการ
  • รายชื่อผู้ประกอบการ
  • ฐานข้อมูลผู้เชี่ยวชาญ
  • หลักสูตรวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว
  • รูปภาพความเสียหายหลังการเก็บเกี่ยว
  • มาตรฐานสินค้าเกษตร และระเบียบการส่งออก
  • ลิ้งค์ที่เกี่ยวข้อง

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

  • สถาบันวิจัยเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • กรมส่งเสริมการเกตร
  • กรมวิชาการเกษตร
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
  • อุตุนิยมวิทยาเพื่อการเกษตร
  • สมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ
  • ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย
  • สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.)

หน้าแรก > ข่าวเกษตรประจำวัน

3 ทางเลือกทำลาย "ลำไยอบแห้ง" อีกบทพิสูจน์ความโปร่งใสรัฐ

เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 52

3 ทางเลือกทำลาย "ลำไยอบแห้ง" อีกบทพิสูจน์ความโปร่งใสรัฐ

ปัญหาลำไยอบแห้งค้างสต็อกปี 2546/2547 กว่า 4.6 หมื่นตันที่ค้างคามานาน ในที่สุดคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ที่ผ่านมา ได้มีมติให้ทำลายลำไยด้วยวงเงินไม่เกิน 90 ล้านบาท แต่ยังเป็นที่ถกเถียงว่าจะทำลายด้วยวิธีใดที่จะคุ้มค่าที่สุดและไม่เปลืองงบประมาณ ที่สำคัญต้องไม่มีการเล็ดลอดออกมาปะปนกับผลผลิตลำไยปี 2552 ที่กำลังจะออกสู่ท้องตลาดปลายเดือนกรกฎาคมนี้

ทั้งนี้ ผลจากการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการและทำลายลำไยอบแห้งปี 2546 และปี 2547 ครั้งที่ 1/2552 ล่าสุดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยมีนายจรัลธาดา กรรณสูตร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เป็นประธานคณะกรรมการ ได้สรุป 3 แนวทางในการจัดการปัญหาลำไยค้างสต็อกเพื่อเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 30 มิถุนายนนี้

โดยแนวทางแรกจะเป็นการบดแล้วนำไปทำลายด้วยการฝังกลบ แนวทางที่สองเป็นการบดแล้วนำไปทำลายด้วยการเผา ซึ่งทั้ง 2 วิธีจะใช้งบประมาณในการทำลายเฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.67 บาท รวมกับค่าดำเนินการอีกกิโลกรัมละ 0.25 บาท เบ็ดเสร็จเชื่อว่างบประมาณที่ใช้ในการทำลายขึ้นกับปริมาณลำไยอบแห้งค้างสต็อกคาดว่าจะไม่เกิน 78 ล้านบาท
 
ส่วนแนวทางที่สามเป็นการนำไปทำพลังงานชีวมวลโดยการนำลำไยดังกล่าวบดให้ละเอียดแล้วอัดเป็นแท่งตะเกียบ โดยความร่วมมือของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และศูนย์วิจัยพลังงานชีวมวล คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งปัจจุบันมีเครื่องต้นแบบแล้วจำนวน 3 เครื่อง วิธีนี้ใช้วิธีการทำลายจำนวน 60 ล้านบาท

นายจรัลธารา ยืนยันว่าทั้ง 3 แนวทางจะโปร่งใสไม่มีลำไยค้างสต็อกออกมาเล็ดลอดปลอมปนกับลำไยที่กำลังจะออกสู่ท้องตลาดในฤดูกาลใหม่นี้อย่างแน่นอน เพราะจะมีการทำลายด้วยการบดละเอียดทีละโกดังที่กระจายอยู่ทั้งหมด 59 โกดังใน 4 จังหวัด คือ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และลำปาง ทั้งนี้ ยังเป็นการเช็กสต็อกลำไยอบแห้งไปด้วยในตัว หากปริมาณที่บดทำลายน้อยกว่าที่ขึ้นทะเบียนไว้ไม่ตรงกันโดยหักค่าเสื่อมน้ำหนักไม่เกิน 10% เจ้าของโกดังต้องเป็นผู้รับผิดชอบตามกฎหมายโดยถือเป็นจำเลยที่ 1

"โดยส่วนตัวแล้วผมว่าแนวทางที่ 3 มีแนวโน้มที่จะเป็นไปได้กว่า 70-80% ซึ่งหลายฝ่ายก็เห็นด้วยและผมเชื่อว่า ครม.จะอนุมัติให้ดำเนินการทำลายแล้วนำมาอัดแท่งเป็นเชื้อเพลิงแท่งตะเกียบ หากไม่มีข้อผิดพลาดในต้นเดือนกรกฎาคมนี้ จะสามารถดำเนินการได้ทันที" นายจรัลธารา กล่าว

แนวคิดอัดแท่งเป็นเชื้อเพลิงแท่งตะเกียบนี้เป็นโครงการทำลายลำไยค้างสต็อกปี 2546/2547 โดยใช้เป็นพลังงานชีวมวล ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ร่วมมือกับศูนย์วิจัยพลังงานชีวมวล คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 

ซึ่ง รศ.ดร.พรชัย เหลืองอาภาพงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพลังงานชีวมวล กล่าวว่า ขณะนี้มีเครื่องมืออุปกรณ์เครื่องผลิตชีวมวลอัดแท่งแล้วจำนวน 3 เครื่อง กำลังการผลิต 3 ตันต่อชั่วโมง โดยกำหนดกรอบเวลาทั้งสิ้น 9 เดือน คือ 3 เดือนแรกเป็นการนำลำไยออกจากโกดังแล้วบดละเอียด และอีก 6 เดือนหลังเป็นการผลิตชีวมวลอัดแท่งเป็นเชื้อเพลิงแท่งตะเกียบ

ทั้งนี้ จะได้เชื้อเพลิงแท่งตะเกียบจำนวน 40,000 ตัน นำกลับไปใช้เป็นเชื้อเพลิงที่เบื้องต้นคาดว่าจะจำหน่ายให้เตาอบลำไย 9,000 ตัน โรงงานเซรามิก 8,000 ตัน โรงไฟฟ้า 5,000 ตัน และโรงงานอุตสาหกรรมจำนวน 1,400 ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 30 ล้านบาท

ขณะที่นายธวัชชัย สำโรงวัฒนา รองปลัดกระทรวงเกษตรฯ กลับมีความเห็นขัดแย้ง โดยอ้างถึงข้อจำกัดของเครื่องอัดแท่งเชื้อเพลิงแท่งตะเกียบที่มีเพียง 3 เครื่อง และกำลังการผลิตเพียงชั่วโมงละ 3 ตัน หากเดินเครื่องวันละ 8 ชั่วโมง จะสามารถทำเชื้อเพลิงแท่งตะเกียบได้วันละ 72 ตันเท่านั้น ซึ่งปริมาณลำไยค้างสต็อกที่มีอยู่กว่า 4.6 หมื่นตัน ต้องใช้เวลากว่า 639 วันหรือ 1 ปี 7 เดือน จึงจะทำลายได้เสร็จหมด แต่หากบดทำลายแล้วนำไปเผาหรือฝังจะใช้เวลาที่สั้นกว่า

กระนั้น นายบัญชาการ พลชมชื่น ประธานเครือข่ายแผนแม่บทลำไยไทย กลับเห็นว่า เกษตรกรยืนยันที่จะให้ทำลายลำไยอบแห้งค้างสต็อกปี 2546/2547 จำนวน 46,000 ตัน ด้วยการบดแล้วอัดแท่งนำไปทำปุ๋ย แต่ในเมื่อผลการตรวจสอบคุณภาพลำไยอบแห้งพบว่าอันตรายและไม่สามารถนำไปผลิตเป็นปุ๋ยได้ ก็พร้อมจะยอมรับแนวทางการนำไปบดและอัดแท่งเป็นเชื้อเพลิงแท่งตะเกียบให้เกษตรกรนำไปใช้แทนฟืนในการอบลำไยที่ผลผลิตฤดูกาล 2552 กำลังจะเข้าสู่ท้องตลาด

ทั้งนี้ ไม่ว่าบทสรุปของคณะรัฐมนตรีเรื่องการทำลายลำไยอบแห้งค้างสต็อกปี 2546/2547 จะออกมาในรูปแบบใดก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องควบคุมให้มากที่สุดคือความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่ปล่อยให้ลำไยเล็ดลอดออกมาปลอมปนกับลำไยจนสร้างควมเสียหายให้ตลาดเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
    
หมดปัญหาอ้าง "สต็อก" กดราคา

วิชาญ จารธรรม หนึ่งในคณะกรรมการบริหารจัดการและทำลายลำไยอบแห้งปี 2546 และปี 2547 ในฐานะตัวแทนของเกษตรกรชาวสวนลำไยยอมรับว่าหลังจากที่รัฐบาลประกาศการทำลายสต็อกสำไยอบแห้งปี 2546/2547 ออกมาอย่างชัดเจน ทำให้พ่อค้ากล้าที่จะรับซื้อผลผลิตลำไยมากขึ้น  เนื่องจากไม่ต้องกังวลว่าจะมีลำไยอบแห้งในสต็อกเล็ดลอดเข้ามาปลอมปน ส่งผลให้เกษตรกรขายผลผลิตไม่ได้ราคา

"ลำไยอบแห้งปี 2546/2547 เหมือนกับผีที่ตามหลอกตามหลอนเกษตรกรชาวสวนลำไยมาตลอดในช่วง 4-5 ปีมานี้ เพราะพ่อค้าจากจีนไม่กล้าซื้อผลผลิตจากเรา กลัวจะมีลำไยอบแห้งในสต็อกปลอมปน เมื่อส่งตลาดจีนไม่ได้ก็เกิดปัญหาผลผลิตราคาตก เพราะจีนเป็นตลาดหลักที่รับซื้อลำไยจากบ้านเรา"

วิชาญย้ำว่า สิ่งที่เกษตรกรชาวสวงนลำไยต้องการมากที่สุดก็คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้ลำไยอบแห้งหมดไปจากสต็อกโดยเร็วที่สุดในแง่ทางจิตวิทยา เพราะไม่เช่นนั้นจะเป็นข้ออ้างของพ่อค้าในการนำสินค้าในสต็อกไปกดราคาลำไยในฤดูการผลิตใหม่เหมือนเช่นทุกๆ ปีที่ผ่านมา

"คิดว่าลำไยปีนี้ราคาน่าจะดีกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา สาเหตุหนึ่งก็เพราะสต็อกลำไยอบแห้งมีปัญหามาตลอดได้ข้อสรุปที่ชัดเจนจากรัฐบาลว่าจะต้องทำลายทิ้งภายในเวลาเท่านั้นเท่านี้ จีนเป็นตลาดใหญ่รับลำไยได้ไม่อั้น เพียงแต่ให้เขามีความมั่นใจเท่านั้นว่าเป็นผลผลิตจากฤดูผลิตใหม่เท่านั้น ไม่ย้อมแมว เพราะลำไยเป็นผลไม้ที่คนจีนชื่นชอบอยู่แล้ว อย่างปีนี้จีนมีออเดอร์มาแล้วประมาณ 150,000 ตัน" วิชาญกล่าวอย่างมั่นใจ

ที่มา : หนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก วันที่ 29 มิถุนายน 2552
http://www.komchadluek.net/detail/20090629/18512/3ทางเลือกทำลายลำไยอบแห้งอีกบทพิสูจน์ความโปร่งใสรัฐ!.html

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
  • ทางเลือก-ทางรอดเกษตรกรรมไทยในปี 2553
  • มันสำปะหลังทุบสถิติส่งท้ายปี สูงเกินราคาประกันรัฐบาล คาดปีหน้ายังพุ่งขึ้นต่อเนื่อง
  • เตือนภัย เพลี้ยแป้งระบาดในมันสำปะหลัง
  • อียูลดค่าสีผสมอาหาร 3 ชนิด
  • สศก.เปิดเผยศึกษาลำไยนอกฤดู ยันเกษตรกรได้รับผลคุ้มค่า แนะตั้งกลุ่มส่งเสริมจริงจัง
  • โอกาสของเกษตรกรรายย่อยในการรับรองฟาร์มแบบกลุ่ม
  • มะนาวพันธุ์ 'แป้นดกพิเศษ' ดกกว่าพันธุ์แป้นรำไพ 2-3 เท่า
  • ศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

    Postharvest Technology Innovation Center

    เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว | ข่าวเกษตร | บทความ | ฐานข้อมูลงานวิจัย | วีดีโอ | Postharvest Technology