บทคัดย่องานวิจัย

การพัฒนากระบวนการผลิตและการเก็บรักษาพลับกึ่งแห้งสายพันธุ์อั้งใส และนูซิน

ธารา ศรีสกุล

วิทยานิพนธ์ (วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร)) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2540. 178 หน้า.

2540

บทคัดย่อ

การพัฒนากระบวนการผลิตและการเก็บรักษาพลับกึ่งแห้งสายพันธุ์อั้งใส และนูซิน

                พลับสดพันธุ์ฝาดสามารถนำมาผลิตเป็นพลับกึ่งแห้งได้  ซึ่งสายพันธุ์ที่เหมาะสมคือ  พันธุ์อั้งใส  (Ang Sai ; P3)  และ นูซิน (Nui Scin ; P4)  โดยนำพลับสดดังกล่าวมาผ่านกรรมวิธีการลดความฝาดด้วยวิธีบรรจุในบรรยากาศของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  แล้วนำไปเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส  นาน  3 วัน  เพื่อลดปริมาณแทนนินที่ละลายน้ำได้  ทำให้ความฝาดลดลง  หลังจากนั้นนำมาเก็บรักษาในบรรยากาศปกติที่อุณหภูมิเดิมนาน  2-3 วัน  จนกระทั่งมีความสุกประมาณร้อยละ 80

                จากการทดลองศึกษาการใช้สารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ร่วมในกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์พลับกึ่งแห้ง  พบว่าการใช้สารประกอบกำมะถันร่วมในกระบวนการผลิตพลับกึ่งแห้งพันธุ์อั้งใส  (P3)  และพันธุ์นูซิน  (P4)  นั้น  วิธีการที่เหมาะสมที่สุด คือ  การใช้วิธีการรมควันกำมะถัน  (Sulfuring method)   โดยใช้ปริมาณกำมะถัน  10 กรัม  ต่อตู้อบที่มีขนาด  1 ลูกบาศก์เมตร  นาน  20 นาที  จำนวน  2 ครั้ง  (ก่อนและหลังการอบแห้ง)  โดยจะให้ค่าปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่พลับพันธุ์ P3  ดูดซับไว้ได้เท่ากับ 740 ส่วนในล้านส่วน  ค่าสี L  gmjkdy[  43.02  ค่าสี  a* เท่ากับ 12.60 และค่าสี  b* เท่ากับ 15.24 ส่วนค่าปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่พลับพันธุ์  P4  ดูดซับไว้จะได้เท่ากับ  650 ส่วนในล้านส่วน  ค่าสี L  เท่ากับ  48.35  ค่าสี  a*  เท่ากับ  14.75  และค่าสี  b*  เท่ากับ  23.69

                การศึกษาหาเวลาที่เหมาะสมในการผลิตพลับกึ่งแห้งพบว่าเวลาในการทำแห้งพลับพันธุ์อั้งใส  (P3)  คือ  60 ชั่วโมง  34 นาที  จึงได้ผลิตภัณฑ์พลับกึ่งแห้งที่มีความชื้นร้อยละ  30  โดยการทำแห้งพลับ  1 ผล  (100.75 กรัม)  ของพันธุ์  P3  ให้มีความชื้นดังกล่าวนั้น  ต้องทำการอบแห้งจนกระทั่งมีน้ำหนักเป็น  31.83 กรัม  และเวลาในการทำแห้งพลับพันธุ์นูซิน  (P4)  คือ  77 ชั่วโมง  37  นาที  จึงได้ผลิตภัณฑ์พลับกึ่งแห้งที่มีความชื้นร้อยละ 30  โดยการทำแห้งพลับ  1 ผล  (191.63 กรัม)  ของพันธุ์  P4  ให้มีความชื้นตามที่ต้องการนั้น  ต้องทำการอบแห้งจนกระทั่งมีน้ำหนักเป็น  59.11  กรัม

                การนำสารละลายโปแตสเซียมซอร์เบทมาใช้ในการถนอมรักษาพลับกึ่งแห้งพบว่า  ในพลับกึ่งแห้งพันธุ์อั้งใส  (P3)  ความเข้มข้นของสารละลายโปแตสเซียมซอร์เบทและเวลาในการแช่ที่เหมาะสมคือ  ความเข้มข้นร้อยละ 2  และเวลาในการแช่นาน  60 วินาที  ซึ่งทำให้มีปริมาณกรดซอร์บิคที่พลับดูดซับไว้ได้เท่ากับ  860 ส่วนในล้านส่วน  ส่วนพลับกึ่งแห้งพันธุ์นูซิน (P4)  ความเข้มข้นของสารละลายโปแตสเซียมซอร์เบท  และเวลาในการแช่ที่เหมาะสม คือ  ความเข้มข้นร้อยละ 3  และเวลาในการแช่นาน  30  วินาที  ซึ่งทำให้มีปริมาณกรดซอร์บิคที่พลับดูดซับไว้ได้เท่ากับ  990  ส่วนในล้านส่วน

                การศึกษาวิธีการบรรจุและอุณหภูมิในการเก็บรักษาที่เหมาะสมของพลับทั้งสองสายพันธุ์  พบว่า วิธีการบรรจุและอุณหภูมิในการเก็บรักษาพลับกึ่งแห้งทั้งพันธุ์อั้งใส  (P3)  และนูซิน  (P4)  ที่เหมาะสมที่สุด คือ การบรรจุในถุงพลาสติกเนื้อ  2 ชั้นของโพลีเอทธิลีนชนิดความหนาแน่นต่ำและโพลีเอสเทอร์  โดยใช้วิธีการบรรจุในสภาวะสูญญากาศ  และการเก็บรักษาที่อุณหภูมิ  0 องศาเซลเซียส  โดยจะให้คุณภาพของผลิตภัณฑ์ทางด้านเคมี  กายภาพ  จุลชีววิทยา และการทดสอบทางประสาทสัมผัสที่ดีกว่าและคงคุณภาพได้นานกว่าการเก็บรักษาไว้ในวิธีการบรรจุในสภาวะบรรยากาศปกติ  ในสภาวะที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  และการเก็บรักษาที่อุณหภูมิ  0 องศาเซลเซียส  จะคงคุณภาพดังกล่าวได้ดีกว่าการเก็บรักษาที่อุณหภูมิ  10  และ  30 องศาเซลเซียส  โดยพลับกึ่งแห้งปกติที่ไม่ได้ใช้โปแตสเซียมซอร์เบท  และเก็บที่สภาพปกติที่อุณหภูมิห้องสามารถเก็บได้นาน  10 วัน  สำหรับพลับกึ่งแห้งพันธุ์อั้งใส  (P3)  และ  14 วัน  สำหรับพลับกึ่งแห้งพันธุ์นูซิน  (P4) ในขณะที่พลับกึ่งแห้งที่ได้รับการพัฒนากระบวนการผลิตโดยการใช้สารโปแตสเซียมซอร์เบท  และบรรจุในสภาวะสูญญากาศ  เก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิ  0 องศาเซลเซียส  สามารถเก็บได้นานถึง  16 สัปดาห์  ทั้งสองสายพันธุ์ของพลับกึ่งแห้ง