͢¢ԷҡѧPostharvest Technology Information NetworkPostharvest TechnologyɵҪԡ͢纺촡ɵҹŧҹԨ

แนะนำหน่วยงาน

  • หน้าหลัก
  • ประชาสัมพันธ์ศูนย์ฯ
  • ความเป็นมา
  • วัตถุประสงค์
  • โครงสร้างการบริหาร
  • คณะกรรมการอำนวยการ
  • คณะกรรมการบริหาร
  • ภาคีสถาบันอุดมศึกษาและวิจัย
  • ติดต่อศูนย์ ฯ

บริการต่าง ๆ

  • PHTNET E-Learning
  • Postharvest Newsletter
  • เครื่องมือวิทยาศาสตร์
  • ห้องปฏิบัติการ
  • รายชื่อผู้ประกอบการ
  • ฐานข้อมูลผู้เชี่ยวชาญ
  • หลักสูตรวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว
  • รูปภาพความเสียหายหลังการเก็บเกี่ยว
  • มาตรฐานสินค้าเกษตร และระเบียบการส่งออก
  • ลิ้งค์ที่เกี่ยวข้อง

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

  • สถาบันวิจัยเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • กรมส่งเสริมการเกตร
  • กรมวิชาการเกษตร
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
  • อุตุนิยมวิทยาเพื่อการเกษตร
  • สมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ
  • ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย
  • สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.)

หน้าแรก > ข่าวเกษตรประจำวัน

'ไถกลบตอซัง' ในพื้นที่นาข้าว

เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 53

'ไถกลบตอซัง' ในพื้นที่นาข้าว
วันนี้มีเรื่องมาบอกเล่า เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “ข้าว” มี 2 เรื่องคือ เรื่องแรกอาจเป็นเรื่องที่บอกกันมานานแล้ว แต่ก็ยังต้องบอกกันอีกเรื่อย ๆ เรื่องที่สองอาจเป็นเรื่องใหม่ที่บางคนอาจยังไม่เคยได้ยินมาก่อนแต่ต่าง ประเทศเขามีมานานแล้ว

เรื่องแรกเป็นเรื่องของการรณรงค์การไถกลบตอซังอย่างจริงจังในพื้นที่นาข้าว รวมไปถึงมันสำปะหลัง อ้อย และข้าวโพด โดยทางกระทรวงเกษตรฯ มียุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศใน ประเทศไทย และจัดทำแผนบรรเทาภาวะโลกร้อนด้านการเกษตร โดยแบ่งแผนงานออกเป็น  5 ด้าน คือ ดิน น้ำ พืช ปศุสัตว์ และ การประมง รวมทั้งให้แต่ละหน่วยงานในกระทรวงฯ รณรงค์เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ปลุกจิตสำนึกให้ประชาชนรักสิ่งแวดล้อม และได้มอบหมายให้กรมพัฒนาที่ดินเป็นหน่วยงานหลัก ในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนในแผนงานการอนุรักษ์ดินและน้ำ เพื่อป้องกันผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ยุติการทำลายหน้าดิน ลดการใช้สารเคมีทางการเกษตร โครงการรณรงค์ไถกลบตอซังเพื่อบรรเทาภาวะโลกร้อน จึงเป็นการรณรงค์ให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนทัศนคติ ไม่เผาตอซัง ซึ่งทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นมาเป็นการไถกลบ เช่น ในพื้นที่ปลูกข้าว มันสำปะหลัง อ้อย และข้าวโพด เพื่อลดผลกระทบจากการเผาตอซังหลังเก็บเกี่ยวในพื้นที่เกษตรกรรม โดยให้นำวัสดุตอซังที่เหลือใช้จากไร่นามาเป็นวัสดุปรับปรุงบำรุงดิน บรรเทาภาวะโลกร้อนและช่วยเพิ่มคุณภาพดินเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุนการผลิต และรักษาสิ่งแวดล้อม โดยตั้งเป้าจะขยายผลไปทุกอำเภอ ตำบล ทุกหมู่บ้าน เพื่อที่จะให้เกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดินดีขึ้น ผลผลิตดีขึ้น และมีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิตมากขึ้น

สำหรับเรื่องที่สอง เป็นเรื่องที่กระทรวงเกษตรฯ มอบหมายกรมส่งเสริมการเกษตรดำเนินการศึกษา แนวทางการดำเนินการประกันภัยธรรมชาติสำหรับการผลิตข้าว โดยศึกษาอัตราเบี้ยประกัน วงเงินคุ้มครอง รูปแบบหรือเกณฑ์การประเมินความเสียหาย และการบริหารจัดการการรับประกันภัยที่เหมาะสม ซึ่งขณะนี้กรมส่งเสริมการเกษตรได้ศึกษาการรับประกันภัยธรรมชาติสำหรับการ ผลิตข้าวนาปีแบบเสมือนจริง คือ มีการดำเนินการเหมือนการรับประกันภัยจริงทุกประการ แต่ยังไม่มีการเก็บเงินค่าเบี้ยประกันจากเกษตรกรและไม่มีการจ่ายเงินชดเชย แก่เกษตรกรแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ได้ศึกษาในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศรวม 16 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย พะเยา กำแพงเพชร นครสวรรค์ หนองคาย มุกดาหาร อุดรธานี  ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ ชัยนาท อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี นครศรีธรรมราช และพัทลุง โดยนำสถิติการเกิดอุทกภัยและภัยแล้งตั้งแต่ปี 2547-2551 ของแต่ละจังหวัดที่ศึกษามาคำนวณหาโอกาสเกิดภัย เพื่อนำมากำหนดอัตราเบี้ยประกันภัย และกำหนดวงเงินคุ้มครองในระดับต้นทุนการผลิต โดยการจ่ายเงินชดเชยเกษตรกรให้เป็นไปตามช่วงระยะเวลาการเจริญเติบโตของข้าว ในช่วงที่ข้าวได้รับความเสียหาย

การประเมินความเสียหายนั้นจะประเมินโดยให้คณะกรรมการประเมินความเสียหายในระดับท้องถิ่นลงสำรวจแปลง และตรวจสอบว่าเกษตรกรรายนั้นจะได้รับเงินชดเชยเท่าไร

สำหรับการประกันภัยทางการเกษตรในต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ คือ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อินเดีย และจีน ซึ่งรับประกันภัยพืชเกือบทุกชนิด และคุ้มครองภัยธรรมชาติทุกภัย ยกเว้นญี่ปุ่นจะคุ้มครองทั้งโรคพืช แมลง และสถานการณ์ทางอุตุนิยมวิทยาอื่น ๆ ด้วย โดยประเทศที่พัฒนาแล้วจะนิยมใช้ดัชนีผลผลิตของเขตพื้นที่ หรือประกันรายได้ ในการประเมินความเสียหาย ส่วนประเทศกำลังพัฒนา เช่น ไทยนิยมใช้ดัชนีภูมิอากาศในการประเมินความเสียหาย

อรรถ อินทลักษณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า ในการบริหารจัดการประกันภัยทางการเกษตรทุกประเทศจะมีกฎหมายรับรองและกำหนดแนวทางการประกันภัย ส่วนใหญ่จะดำเนินการร่วมกันระหว่างรัฐบาลและเอกชน โดยรัฐบาลจะเป็นผู้วางนโยบายประกันภัยพืชผล ออกพระราชบัญญัติประกันภัยพืชผล จัดตั้งหน่วยงานเพื่อทำหน้าที่รับประกันภัยโดยเฉพาะและจัดสรรงบประมาณในการดำเนินงาน ส่วนภาคเอกชนจะเป็นผู้บริหารจัดการตัวแทนประกันภัย ดูแลจัดการโครงการที่ได้รับจากสถาบันการเงิน ดูแลเงินค่าชดเชยในแต่ละพืช แต่ละพื้นที่ และจ่ายเงินค่าชดเชย เป็นต้น

มีข้อแนะนำว่า เพื่อให้การประกันภัยทางการเกษตรสามารถขับเคลื่อนไปได้ด้วยดี รัฐบาลควรเข้ามาสนับสนุนค่าเบี้ยประกันภัย ทั้งสนับสนุนเต็มจำนวนหรือเป็นบางส่วนประมาณ 20-50% ของค่าเบี้ยประกัน เพื่อจูงใจให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการประกันภัยและ ไม่เป็นภาระในการเพิ่มต้นทุนแก่เกษตรกร.

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2553
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=346&contentID=47441

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
  • นำเลี้ยงปูนิ่ม-พัฒนาท่องเที่ยว วิถีสร้างอาชีพของ วชช.เพื่อชุมชน
  • 'ไม้ผลแปลกและหายาก' ที่น่าปลูกในปี พ.ศ.2554
  • คาดลำไยปีหน้าราคาพุ่ง "ธีระ" ฟุ้งแผนบริหารจัดการดี มุ่งเน้นเดินตามกลไกตลาด
  • ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ใช้เอง ลดต้นทุนการผลิตได้
  • วช.หนุนวิจัยปลานิล "จิตรลดา3" คุณภาพเหมาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์
  • บริหารนำเข้ากาแฟสำเร็จรูป สกัดผลกระทบเปิดเสรีอาฟตา กษ.จับตาล้นตลาด-ราคาร่วง
  • วิจัย "ดีเอ็นเอ" แตงกวา มก.พัฒนา ต้านราน้ำค้าง
  • ศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

    Postharvest Technology Innovation Center

    เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว | ข่าวเกษตร | บทความ | ฐานข้อมูลงานวิจัย | วีดีโอ | Postharvest Technology