͢¢ԷҡѧPostharvest Technology Information NetworkPostharvest TechnologyɵҪԡ͢纺촡ɵҹŧҹԨ

แนะนำหน่วยงาน

  • หน้าหลัก
  • ประชาสัมพันธ์ศูนย์ฯ
  • ความเป็นมา
  • วัตถุประสงค์
  • โครงสร้างการบริหาร
  • คณะกรรมการอำนวยการ
  • คณะกรรมการบริหาร
  • ภาคีสถาบันอุดมศึกษาและวิจัย
  • ติดต่อศูนย์ ฯ

บริการต่าง ๆ

  • PHTNET E-Learning
  • Postharvest Newsletter
  • เครื่องมือวิทยาศาสตร์
  • ห้องปฏิบัติการ
  • รายชื่อผู้ประกอบการ
  • ฐานข้อมูลผู้เชี่ยวชาญ
  • หลักสูตรวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว
  • รูปภาพความเสียหายหลังการเก็บเกี่ยว
  • มาตรฐานสินค้าเกษตร และระเบียบการส่งออก
  • ลิ้งค์ที่เกี่ยวข้อง

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

  • สถาบันวิจัยเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • กรมส่งเสริมการเกตร
  • กรมวิชาการเกษตร
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
  • อุตุนิยมวิทยาเพื่อการเกษตร
  • สมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ
  • ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย
  • สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.)

หน้าแรก > ข่าวเกษตรประจำวัน

ไทย 1 ใน 12 ประเทศเสี่ยงสารพิษตกค้างในสินค้านำเข้า

เมื่อวันที่ 28 มกราคม 53

ไทย 1 ใน 12 ประเทศเสี่ยงสารพิษตกค้างในสินค้านำเข้า เกษตรฯ แนะเกษตรกรและผู้ประกอบการปรับตัวรับมาตรการ หลังอียูขึ้นบัญชีไทยเป็น 1 ใน 12 ประเทศกลุ่มเสี่ยงพบสารพิษตกค้างในสินค้านำเข้า ทั้งนี้ตามที่สหภาพยุโรปได้ออกกฎระเบียบ 669/2009 ว่าด้วยการควบคุมการตรวจสอบสินค้านำเข้าที่มิได้มีแหล่งกำเนิดมาจากสัตว์ โดยมี เป้าหมายเพิ่มการตรวจสอบสินค้ากลุ่มที่มาจากประเทศที่มีความเสี่ยงในการพบสารตกค้างของอะฟลาท็อกซิน สารโอคราท็อกซิน เอ แคดเมียม สารตะกั่ว และ สารกำจัดศัตรูพืช จำนวน 12 ประเทศ ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล จีน กานา อินเดีย ไนจีเรีย อุซเบกิสถาน เวียดนาม ปากีสถาน สาธารณรัฐโดมินิกัน ตุรกี รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2553 เป็นต้นไป

สำหรับสินค้าไทยที่จะถูกตรวจสอบมี 3 รายการ คือ ถั่วฝักยาว พิกัดภาษี 0708 20 00 ผักตระกูลมะเขือ พิกัดภาษี 0709 30 00 และผักตระกูลกะหล่ำ พิกัดภาษี 0704 ทั้งที่เป็นผักสด แช่เย็นหรือแช่แข็ง ซึ่งจะถูกสุ่มตรวจ 50% จากเดิมที่สุ่มตรวจเพียง 10% โดยสหภาพยุโรปจะพิจารณาทบทวนเปอร์เซ็นต์การสุ่มตรวจ ณ ด่านนำเข้าอย่างน้อยทุก 3 เดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการตรวจพบสารตกค้าง หากสามารถแก้ไขปัญหาลดลงได้ สหภาพยุโรปจะถอดชื่อประเทศไทยออกจากบัญชีรายชื่อประเทศ กลุ่มเสี่ยงในระเบียบดังกล่าว และจะลดระดับการตรวจสอบลงเป็นระดับปกติ

แต่ถ้าพบว่ามีปัญหามากขึ้น อาจปรับเพิ่มเปอร์เซ็นต์การสุ่มตรวจสอบเข้มงวดขึ้นอีก นอกจากสินค้าผักทั้ง 3 ชนิดแล้ว ผู้ประกอบการของไทยยังต้องเพิ่มความระมัดระวังครอบคลุมไปถึงการปนเปื้อนของสี ซูดาน ในพริก ผลิตภัณฑ์จากพริก สินค้าจำพวกขมิ้น และน้ำมันปาล์ม เป็นต้น เนื่องจากสินค้ากลุ่มนี้จะถูกตรวจเข้มเพิ่มมากขึ้น ณ ด่านนำเข้าของสหภาพยุโรปด้วย และคณะผู้ตรวจประเมินจะเดินทางมายังประเทศไทย เพื่อทำการตรวจประเมินระบบการควบคุมสารปราบศัตรูพืชในสินค้าอาหารที่มีแหล่งกำเนิดจากพืช พร้อมตรวจประเมินระบบป้องกันการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ในผักสมุนไพรก่อนการ ส่งออกไปจำหน่ายยังสหภาพยุโรป โดยกำหนดตรวจประเมินระหว่างวันที่ 3-12 มีนาคม 2553 นี้.

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 28 มกราคม 2553
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=339&contentID=45217

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
  • นำเลี้ยงปูนิ่ม-พัฒนาท่องเที่ยว วิถีสร้างอาชีพของ วชช.เพื่อชุมชน
  • 'ไม้ผลแปลกและหายาก' ที่น่าปลูกในปี พ.ศ.2554
  • คาดลำไยปีหน้าราคาพุ่ง "ธีระ" ฟุ้งแผนบริหารจัดการดี มุ่งเน้นเดินตามกลไกตลาด
  • ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ใช้เอง ลดต้นทุนการผลิตได้
  • วช.หนุนวิจัยปลานิล "จิตรลดา3" คุณภาพเหมาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์
  • บริหารนำเข้ากาแฟสำเร็จรูป สกัดผลกระทบเปิดเสรีอาฟตา กษ.จับตาล้นตลาด-ราคาร่วง
  • วิจัย "ดีเอ็นเอ" แตงกวา มก.พัฒนา ต้านราน้ำค้าง
  • ศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

    Postharvest Technology Innovation Center

    เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว | ข่าวเกษตร | บทความ | ฐานข้อมูลงานวิจัย | วีดีโอ | Postharvest Technology