͢¢ԷҡѧPostharvest Technology Information NetworkPostharvest TechnologyɵҪԡ͢纺촡ɵҹŧҹԨ

แนะนำหน่วยงาน

  • หน้าหลัก
  • ประชาสัมพันธ์ศูนย์ฯ
  • ความเป็นมา
  • วัตถุประสงค์
  • โครงสร้างการบริหาร
  • คณะกรรมการอำนวยการ
  • คณะกรรมการบริหาร
  • ภาคีสถาบันอุดมศึกษาและวิจัย
  • ติดต่อศูนย์ ฯ

บริการต่าง ๆ

  • PHTNET E-Learning
  • Postharvest Newsletter
  • เครื่องมือวิทยาศาสตร์
  • ห้องปฏิบัติการ
  • รายชื่อผู้ประกอบการ
  • ฐานข้อมูลผู้เชี่ยวชาญ
  • หลักสูตรวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว
  • รูปภาพความเสียหายหลังการเก็บเกี่ยว
  • มาตรฐานสินค้าเกษตร และระเบียบการส่งออก
  • ลิ้งค์ที่เกี่ยวข้อง

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

  • สถาบันวิจัยเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • กรมส่งเสริมการเกตร
  • กรมวิชาการเกษตร
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
  • อุตุนิยมวิทยาเพื่อการเกษตร
  • สมาคมผู้ส่งข้าวออกต่างประเทศ
  • ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย
  • สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.)

หน้าแรก > ข่าวเกษตรประจำวัน

สกัดวิกฤติกาแฟโดนพิษอาฟต้า เกษตรฯเร่งปรับยุทธศาสตร์เพิ่มประสิทธิภาพผลิต ลดต้นทุน

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 53

สกัดวิกฤติกาแฟโดนพิษอาฟต้า เกษตรฯเร่งปรับยุทธศาสตร์เพิ่มประสิทธิภาพผลิต ลดต้นทุน

นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา ไทยมีพันธกรณีต้องลดภาษีและยกเลิกมาตรการโควต้าภาษีสินค้ากาแฟภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน (อาฟตา) โดยกาแฟสำเร็จรูปต้องลดภาษีเหลือร้อยละ 0 เมล็ดกาแฟเหลือร้อยละ 5

ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟของไทย ซึ่งมีกว่า 3 หมื่นครัวเรือนได้รับผลกระทบ รวมทั้งเพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทางการค้า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงเร่งปรับปรุงยุทธศาสตร์กาแฟปี 2552-2556 ประกอบด้วย ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการลดต้นทุน การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ และการสร้างเสถียรภาพราคา

ทั้งนี้การที่มีการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) พบว่า โอกาสที่สินค้ากาแฟจากประเทศเวียดนามจะเข้ามาตีตลาดไทยมีความเป็นไปได้สูง มาก ซึ่งจะทำให้เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากเวียดนามเป็นผู้ค้ารายใหญ่ติด 1 ใน 3 ของโลก รองจากบราซิล และโคลัมเบีย ซึ่งมีต้นทุนในการผลิตที่ต่ำกว่าไทยมาก แต่ไทยยังมีข้อได้เปรียบในเรื่องของเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพ และมาตรฐานที่แตกต่างจากเมล็ดกาแฟของประเทศเพื่อนบ้าน ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในประเทศและต่างประเทศ ดังนั้นเกษตรกรไทยจึงควรรักษาข้อได้เปรียบส่วนนี้ไว้และตระหนักอยู่เสมอว่า คู่แข่งที่สำคัญก็มีการพัฒนาคุณภาพของเมล็ดกาแฟด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ควรมีการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาพันธุ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายโอกาสการส่งออกและแข่งขันกับประเทศต่างๆ ได้

อย่างไรก็ตาม ยุทธศาสตร์กาแฟของภาครัฐจะมุ่งเน้นส่งเสริมและพัฒนาเครือข่ายเกษตรกรและกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟให้ลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต โดยไม่ต้องขยายพื้นที่ปลูก โดยเฉพาะกาแฟโรบัสต้า ซึ่งภายในปี 2556 คาดว่าจะเพิ่มผลผลิตต่อไร่กาแฟที่ปลูกเป็นพืชเดี่ยวจาก 200 กก./ไร่ เป็น 300 กก./ไร่ และปลูกร่วมกับพืชอื่นจาก 143 กก./ไร่ เป็น 180 กก./ไร่ ทั้งยังมุ่งเพิ่มจำนวนแปลงกาแฟที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจีพีเอ ไม่น้อยกว่า 50% จากพื้นที่ปลูกทั้งประเทศ จำนวน 403,449 ไร่ ซึ่งเมื่อผลผลิตเพิ่มขึ้นต้นทุนการผลิตต่ำลงทำให้โอกาสในการแข่งขันกับกาแฟต่างประเทศเพิ่มขึ้น

ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันที่ 5 ตุลาคม 2553
http://www.naewna.com/news.asp?ID=230765

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
  • นำเลี้ยงปูนิ่ม-พัฒนาท่องเที่ยว วิถีสร้างอาชีพของ วชช.เพื่อชุมชน
  • 'ไม้ผลแปลกและหายาก' ที่น่าปลูกในปี พ.ศ.2554
  • คาดลำไยปีหน้าราคาพุ่ง "ธีระ" ฟุ้งแผนบริหารจัดการดี มุ่งเน้นเดินตามกลไกตลาด
  • ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ใช้เอง ลดต้นทุนการผลิตได้
  • วช.หนุนวิจัยปลานิล "จิตรลดา3" คุณภาพเหมาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์
  • บริหารนำเข้ากาแฟสำเร็จรูป สกัดผลกระทบเปิดเสรีอาฟตา กษ.จับตาล้นตลาด-ราคาร่วง
  • วิจัย "ดีเอ็นเอ" แตงกวา มก.พัฒนา ต้านราน้ำค้าง
  • ศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

    Postharvest Technology Innovation Center

    เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว | ข่าวเกษตร | บทความ | ฐานข้อมูลงานวิจัย | วีดีโอ | Postharvest Technology